แก้วเก็บความเย็นประเภทต่างๆ

แก้วเก็บความเย็น

แก้วเก็บความเย็นกลายเป็นสิ่งของในชีวิตประจำวันของใครหลายๆคนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปัจจัยหลักเกิดจากประเทศเราเป็นเมืองร้อนทำให้ผู้คนตื่นตัวกับการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพมากขึ้น และอีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากกระแสการรักษาสิ่งแวดล้อม และการใช้แก้วเก็บความเย็นก็เป็นวิธีหนึ่งในการลดขยะพลาสติก

ด้วยความนิยมของแก้วเก็บความเย็นที่เกิดขึ้นมหาศาล ทำให้แก้วเก็บความเย็นมีตัวเลือกเยอะมากในตลาดทุกวันนี้ แบรนด์หลักๆที่ทุกคนรู้จักกันดีก็ยกตัวอย่างเช่น แก้วเก็บความเย็นเยติ, แก้ว Ozark หรือน้องใหม่อย่าง แก้ว Tyeso เป็นต้น

แก้วเก็บความเย็นจุดเด่นคือการเก็บความเย็นได้นานแบบเหลือเชื่อ บางแบบสามารถเก็บความเย็นได้นานมากกว่า 10 ชม.เลยทีเดียว และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้วลักษณะนี้กลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแก้วเก็บความเย็นแบรนด์แท้ต่างมีราคาค่อนข้างสูง จึงทำให้เกิดแก้วเก็บความเย็นของเทียมเกิดขึ้นอย่างหลากหลายราคาก็จะมีแตกต่างกันอย่างมากตั้งแต่ราคาใบละไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักหลายร้อย 

"ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เราแทบจะแยกคุณภาพที่ดีและไม่ดีออกจากกันด้วยการดูจากภายนอก หากต้องสั่งสินค้าแบบไม่ได้เห็นสินค้าตัวจริง การตัดสินใจซื้อโดยใช้ราคาเป็นเป้าหมายอาจจะทำให้เราได้แก้วที่คุณภาพต่ำได้"

แก้วเก็บความเย็นมีกี่แบบ

แก้วเก็บความเย็น Tumbler

1.แก้วมาตรฐานทรงเยติ (Tumbler)

แก้วทรงนี้จะเป็นทรงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเนื่องจากขนาดที่เหมาะสำหรับการใช้งาน และรูปแบบที่สะดวกต่อการพกพา คนส่วนใหญ่มักจะใช้พกพาในชีวิตประจำวัน หรือใช้สำหรับติดในรถยนต์ ความสะดวกของแก้วลักษณะนี้คือฝาปิดมักจะมีรูเพื่อให้เราสามารถเสียบหลอดดูดน้ำ หรือยกดื่มได้ทันที ขนาดมาตรฐานจะอยู่ที่ 20 และ 30 ออนซ์ หรือเทียบเป็นมิลลิลิตรจะอยู่ที่ 600 และ 800 ml. โดยประมาณ ลักษณะทรงฐานแคบ ปากแก้วทรงกว้าง แก้วทรงมาตรฐานลักษณะนี้จะมีทั้งแบบมีหูจับและไม่มีหูจับ สำหรับแก้วแบบไม่มีหูจับ ถ้าคุณภาพดี ความร้อนหรือความเย็นจากเครื่องดื่มในแก้วจะไม่มีผลต่อการจับถือของผู้ใช้งาน อาจมีผลแค่ความถนัดของการจับถือเท่านั้น แต่หากต้องการหูจับก็สามารถซื้อเพิ่มได้ทั้งแบบเป็นหูพลาสติกแข็ง และเป็นถุงยางยืดได้

2.แก้วเก็บความเย็นความร้อนทรงมัค (Mug)

แก้วทรงนี้เหมาะแก่การใช้ดื่มเครื่องดื่มบนโต๊ะทำงาน หรือระหว่างมื้ออาหาร ทรงแก้วจะเหมือนแก้วกาแฟทั่วไป มีหูจับในตัว ขนาดของแก้วจะพอดีดื่มในแต่ละมื้อ เหมาะสำหรับการใช้อยู่กับที่มากกว่าการพกพา เนื่องจากขนาดของแก้วไม่ใหญ่ ไม่สามารถบรรจุน้ำได้มากพอต่อการดื่มในแต่ละวัน นอกจากนั้นแก้วชนิดนี้จะมีหูจับในตัว ทำให้การวางในบางพื้นที่อาจจะทำไม่ได้ เช่น ช่องวางแก้วในรถยนต์ ขนาดมาตรฐานอยู่ที่ 10-14 ออนซ์ มาพร้อมฝาปิดที่มืดชิดป้องกันเครื่องดื่มหก และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บความร้อนและความเย็นได้ด้วย

3.แก้วเก็บความเย็นทรงกระบอก (Bottle)

แก้วทรงกระบอกน้ำถือเป็นแบบมาตรฐานที่เราใช้กันมานานหลายปี เป็นรูปแบบที่เก็บความเย็นได้ดีที่สุดเนื่องจากฝาปิดที่ค่อนข้างมิดชิด เหมาะสำหรับการบรรจุเครื่องดื่มที่ไม่ได้เปิดทานบ่อยเนื่องจากความยุ่งยากในการเปิด จึงไม่นิยมดื่มเครื่องดื่มโดยตรงจากกระบอกน้ำ
แต่จะใช้สำหรับเทลงแก้วเพื่อดื่มมากกว่า ลักษณะที่เห็นบ่อยๆคือการเก็บน้ำร้อนสำหรับใช้ผสมเครื่องดื่มต่างๆ หรือใช้สำหรับแช่ใบชาสำหรับรับประทาน นอกจากนั้นอาจจะยังเหมาะสำหรับการให้เด็กพกพาไปดื่มน้ำที่โรงเรียนเนื่องจากน้ำจะไม่หกจากการถือแกว่งไกวไปมา
ขนาดของแก้วเก็บความเย็นทรงกระบอกจะมีหลายขนาดตั้งแต่ 12-46 ออนซ์ หรือถ้าเทียบเป็น ml. ก็จะอยู่ที่ประมาณ 350-1350 มิลลิลิตร

4.แก้วเก็บความเย็นรูปแบบอื่นๆ

แก้วทางเลือกนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วจะเป็นแก้วที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้เฉพาะทางเช่น สำหรับการดื่มไวน์ (Wine Tumbler) และการดื่มเบียร์ (Can cooler) แก้วเก็บความเย็นสองชนิดนี้อาจพอเห็นได้ตามท้องตลาดบ้าง แต่ด้วยความเฉพาะทาง รูปแบบการใช้งานจึงไม่หลากหลากเท่าที่ควร ทำให้ไม่เป็นที่นิยมเท่าแบบอื่นๆ และเราก็สามารถใช้แก้วเก็บความเย็นรูปแบบอื่นๆทดแทนได้

4 แบรนด์แก้วเก็บความเย็นที่นิยมในตลาดเมืองไทย

1.Yeti แบรนด์ผู้นำตลาดแก้วเก็บความเย็น Tumbler ยุคบุกเบิกจากประเทศสหรัฐอเมริกาคุณภาพที่ยอดเยี่ยมก็มาพร้อมกับราคาที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน แก้วเก็บความเย็นเยติเคยเป็นของฝากยอดนิยมอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่ว่าใครไปประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วต้องเป็นหนึ่งในของฝากอันดับแรกๆที่ต้องหิ้วกลับมาแน่นอน

2.Hydro Flask หากใครเห็นโลโก้ของ Hydro Flask คงต้องคุ้นๆตากันบ้าง นี่ก็เป็นแก้วเก็บความเย็นอีกแบรนด์ที่มาจากสหัฐอเมริกา แบรนด์นี้ถือว่าชนกันจังๆกับ แบรนด์เยติ
แต่แก้ว Hydro Flask จะโดดเด่นทางด้านการดีไซน์แก้วเก็บความเย็นทรงกระบอกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีหูหิ้วที่จับถนัดมือ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Hydro Flask ถูกจดจำในตัวสินค้ากระบอกน้ำมากกว่าแก้ว Tumblerด้วยความที่ไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมาคล้ายกัน และยังเป็นแบรนด์ที่ผลิตแต่แก้วเก็บความเย็นเหมือนกันด้วย ราคาก็ไม่ต่างจากแก้วเยติมาก ทำให้แบรนด์นี้จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว

3.Ozark Trail เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ทำอุปกรณ์แคมปิ้งครบวงจร มี Walmart ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์จำหน่าย และแก้วเก็บความเย็นภายใต้แบรนด์ Ozark Trail ก็ถือเป็นสินค้าทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแก้วเก็บความเย็นคุณภาพสูงแต่ราคาไม่แรงเนื่องจากผลิตในประเทศจีน แม้ตัวแก้วจะผลิตจากประเทศจีน แต่ด้วยมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าจากอเมริกาก็ยังคงไว้ใจได้ ระดับราคาจะอยู่ต่ำกว่า Yeti แต่คุณภาพต้องบอกว่าเบียดกันได้เลย

4.Tyeso แบรนด์นี้ถือเป็นน้องใหม่แบบจีนจ๋าๆ ที่ต้องบอกว่าคุณภาพไม่เลวเลย จากความเชี่ยวชาญของโรงงานที่ผลิตแก้วเก็บความเย็นให้แบรนด์อื่นๆเป็นเวลานาน ทำให้แบรนด์ Tyeso ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนงบจำกัดที่ต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงโดยไม่ยึดติดแบรนด์ โดยไลน์ผลิตภัณฑ์ของ Tyeso จะครอบคลุมกว้างมากในหมวดแก้ว และขวดบบรจุอาหารและเครื่องดื่มเก็บความเย็น และด้วยความที่แก้วเก็บความเย็น Tyeso คุณภาพดี แต่ราคาไม่สูงมาก ทำให้แบรนด์นี้จึงเป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับการสั่งผลิตเป็นของพรีเมียมสำหรับแจกในกิจกรรมการตลาดมากกว่าแก้วก็อปปี้ของแบรนด์ต่างๆ เพราะราคาไม่ต่างกันมา แต่คุณภาพต่างกันอย่างชัดเจน แต่แม้ว่าแก้วเก็บความเย็น Tyeso จะราคาถูกเพียงใด แต่เราก็ยังคงเห็นแบรนด์นี้ถูกก็อปปี้ขายกันอยู่ในท้องตลาดอยู่ดี หากจะซื้อคงต้องเช็คให้ชัวร์ก่อน

พื้นผิวสีของแก้วเก็บความเย็น

1.สีเนื้อผิวโลหะ (Metalic)

สีผิวของกระบอกน้ำจะเห็นเป็นเนื้อโลหะขัด เห็นลายเส้นชัดเจน เป็นลวดลายที่สวยโดยธรรมชาติ บางครั้งอาจจะถูกเคลือบด้วยสีบางๆให้สีของสแตนเลสเปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงเห็นลายของโลหะอยู่

แก้วสีโลหะ

2.สีเงา (Glossy)

การใช้สีแบบนี้จะเคลือบทับสีโลหะของแก้วจนไม่เห็นลายเส้นของสแตนเลสเลย โดยพื้นผิวจะมีลักษณะเรียบลื่น มีตัวเลือกของสีได้มากมาย ซึ่งถ้าเราทำแก้วเพื่อแจกลูกค้า เราสามารถเลือกสีแก้วที่เหมาะกับแบรนด์ของเรารวมถึงการทำโลโก้ยังสวยงามบนแก้วลักษณะนี้อีกด้วย

3.สีด้าน (Matt)

สีแบบนี้เป็นสีที่ทำให้สินค้าดูมีราคาแพง พื้นผิวของแก้วจะดูมีเนื้อสัมผัสที่ไม่เรียบลื่นซึ่งมีประโยชน์สำหรับการยึดจับด้วย นอกจากนั้นการทำโลโก้บนแก้วยังสามารถทำได้หลากหลายวิธีช่วยเสริมให้แบรนด์ของลูกค้าดูโดดเด่นขึ้นด้วย

แก้วเก็บความเย็นสีด้าน
กลับสู่สารบัญ

วัสดุของแก้วเก็บความเย็น

โดยส่วนใหญ่แก้วเก็บความเย็นลักษณะนี้จะทำจากวัสดุโลหะสแตนเลส เนื่องด้วยเหตุผลทางด้านสุขอนามัย และประสิทธิภาพในการรักษาอุณหภูมิของเครื่องดื่ม ซึ่งเกรดของสแตนเลสจะเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของแก้วเก็บความเย็นออกจากกัน บางครั้งเราไม่สามารถจำแนกเกรดได้ด้วยตาเปล่าได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เรามักจะพบราคาแก้วที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก เบื้องต้นเราสามารถสอบถามเกรดของสแตนเลสจากร้านค้าก่อนซื้อได้เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของแก้วเก็บความเย็น โดยเกรดของสแตนเลสสามารถแยกได้หลักๆตามนี้

1.สแตนเลสเกรด 201

เป็นสแตนเลสเกรดต่ำที่สุดที่ใช้ในการทำแก้วเก็บความเย็น และเป็นเกรดที่พบได้มากที่สุดในท้องตลาด สแตนเลสเกรดนี้จะมีน้ำหนักเบา และบาง ทำให้ความสามารถในการเก็บความเย็น ร้อน จะน้อย และมีโอกาสที่จะเห็นไอน้ำเกาะเคลือบบนผิวแก้วด้านนอกได้ สแตนเลสเกรดนี้โดยปกติจะไม่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม แต่จะใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างมากกว่า เช่น บานพับประตู ท่อเหล็ก หรือ ชิ้นส่วนรถยนต์ แก้วเก็บความเย็นเกรดนี้ถูกผลิตเพื่อเหตุผลทางด้านราคา ถ้าหากมีงบประมาณไม่มาก อาจลองพิจารณาแก้วเกรดนี้ได้

2.สแตนเลสเกรด 304

เป็นสแตนเลสมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม อุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในครัว มักใช้สแตนเลสเกรดนี้เพื่อเหตุผลทางด้านความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เป็นเกรดของแก้วเก็บความเย็นที่เราแนะนำให้แก่ลูกค้า เพราะคุณภาพที่ไว้ใจได้ และน้ำหนักที่เหมาะมือ แก้วเกรดนี้มีความหนาของสแตนเลสอยู่ในระดับที่จะไม่มีไอน้ำเกาะบริเวณภายนอกของแก้ว และสามารถเก็บอุณหภูมิได้เป็นระยะเวลานาน

3.สแตนเลสเกรด 316

เป็นสแตนเลสเกรดสูงที่พอพบได้ในการผลิตแก้วเก็บความเย็นบ้างแต่ไม่มาก สแตนเลสเกรดนี้จะใช้ในงานที่มีความปลอดภัยระดับสูง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ และงานอากาศยาน แก้วเก็บความเย็นที่ทำจากสแตนเลสเกรดนี้จะมีความสวยงาม แต่ก็มีน้ำหนักมากเนื่องจากความหนาของสแตนเลส ถ้าเราสั่งผลิตเพื่อนำไปแจกในงานการตลาดอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้เกรดนี้ เพราะราคาสูง แต่ถ้าซื้อใช้ส่วนตัวก็อาจจะพิจารณาสแตนเลสเกรดนี้ได้ เพราะแก้วเกรดนี้จะมีความทนทานสูงมาก

บางครั้งการสอบถามเกรดสแตนเลสจากผู้ขายอาจจะไม่ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องนักเพราะหลายครั้งเราจะพบว่าแก้วเก็บความเย็นที่ซื้อตอกเกรด 304 แต่จริงๆแล้วอาจจะเป็นเกรด 201 ก็ได้
ยิ่งถ้ามองจากตาเปล่าก็อาจจะมองไม่ออก แต่เราอาจจะทดสอบได้ง่ายๆด้วยการชั่งน้ำหนักแก้ว หรือถ้ามีความชำนาญก็จะรู้ได้จากการวัดน้ำหนักจากการถือได้ทันที และถ้าเราสามารถซื้อตัวอย่างมาทดสอบได้ เราอาจจะซื้อแก้วมาใส่น้ำแข็งเพื่อจับเวลาดูได้ว่าแก้วเก็บความเย็นได้นานแค่ไหน และมีไอน้ำเกาะภายนอกของแก้วบ้างไหม

การทำโลโก้ลงบนตัวแก้วเก็บความเย็น

เราอาจจะเคยเห็นการทำโลโก้ลงบนแก้วเก็บความเย็นหลายแบบจนอาจเกิดความสับสนได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร เราจะอธิบายวิธีการทำโลโก้หลักๆที่นิยมทำกันเพื่อให้เข้าใจว่าโลโก้แต่ละประเภทเหมาะกับสถานการณ์แบบใดบ้าง เพื่อให้เราสามารถเลือกแบบที่เหมาะสมกับเราและประหยัดงบการทำโลโก้ได้

1.การทำโลโก้แบบ Silk Screen

การทำโลโก้ลักษณะนี้แม้จะเป็นวิธีโบราณ แต่ก็ยังคงไว้ใจได้เสมอมา การทำสกรีนลักษณะนี้จะเป็นการทำบล็อกและรีดสีลงบนพื้นผิวของวัตถุ ให้ลองคิดถึงการสกรีนเบอร์เสื้อฟุตบอลจะเป็นลักษณะแบบนั้น สีที่ได้จะเข้มชัด คมสวย แต่มีข้อจำกัดคือการสกรีนประเภทนี้จะทำได้แค่สีตาย หรือสีที่ไม่ไล่เฉดเท่านั้น และถ้าสีโลโก้ยิ่งมากจะยิ่งราคาสูง เพราะเราจะสกรีนได้ทีละสี เมื่อมีหลายสีจึงจะเป็นการทำงานซ้ำๆลงบนทีละชั้นของสี การสกรีนลักษณะนี้จะเหมาะกับโลโก้ที่ไม่ซับซ้อน มีสีน้อย โลโก้ที่ได้จะมีสีสันสดใส และคมชัดมาก

2.การทำโลโก้แบบ printing 

วิธีการทำโลโก้แบบนี้จะมีทั้งการพิมพ์โลโก้ลงบนแก้วโดยตรงจากเครื่องพิมพ์ และการพิมพ์ลงฟิล์มพิเศษก่อนนำไปทรานเฟอร์ลงแก้วอีกที เราสามารถพิมพ์รูปตามไฟล์ที่เรามีได้เลย การพิมพ์แบบนี้จะไม่จำกัดสี และสามารถพิมพ์สีแบบไล่เฉดได้ งานพิมพ์จะมีความสวยงาม แต่ความสวยงามของการพิมพ์ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องพิมพ์ด้วยซึ่งในท้องตลาดจะมีเครื่องพิมพ์ที่ราคาตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน การพิมพ์โลโก้ลักษณะนี้ต้องระวังในเรื่องความสวยงาม และความติดทนทานของโลโก้ให้ดี เพราะถ้าเจอเครื่องพิมพ์ที่คุณภาพต่ำ เราอาจจะได้งานพิมพ์เป็นเส้น หรือสีสันไม่สดใสได้ และที่สำคัญ การทำโลโก้ลักษณะนี้มักมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการทำโลโก้แบบอื่นๆ

3.การทำโลโก้แบบ Laser

การเลเซอร์ลงแก้วเก็บความเย็นจะมี 2 ลักษณะคือ CO2 Laser และFiber Laser ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกัน แต่อธิบายแบบง่ายๆ คือ ส่วนใหญ่ทำการทำโลโก้เลเซอร์ลงบนแก้วมักใช้เทคนิค Carbon Laser มากกว่า แต่จะทำแล้วดูสวยเฉพาะแก้วเก็บความเย็นที่เคลือบผิวด้วยสีต่างๆ Laser จะสามารถกัดละลายสีของแก้วได้จนถึงเนื้อสแตนเลส แต่ถ้าหากยิงเลเซอร์ลงบนผิวสแตนเลสโดยตรงการใช้เลเซอร์แบบ CO2 จะไม่สามารถกัดเนื้อสแตนเลสได้ทำให้โลโก้ที่ได้จะเกิดเป็นรอยไหม้ไม่สม่ำเสมอกันดูไม่สวยงาม การทำโลโก้แบบยิงเลเซอร์จะใช้ในงานที่โลโก้ไม่ซับซ้อน และต้องการให้ดูสินค้ามีความเรียบหรู ดูราคาแพง


ติดต่อเรา

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก
ขอใบเสนอราคา